April 21, 2020

“The English Game” ชวนดูต้นกำเนิดของเกมฟุตบอล


ในช่วงเก็บเนื้อตัวเก็บตัวอยู่อย่างบ้านอย่างนี้ผมเชื่อว่าแฟนฟุตบอลคงรู้สึกเหงาๆ กันใช่ไหมครับ ไม่มีแมตช์ลงเตะให้ลุ้นกันเหมือนเคย วันนี้เลยเอาซีรีส์ใหม่เรื่อง “The English Game” ที่ออกอากาศทาง Netflix มาฝากครับ น่าจะพอทำให้คอบอลคลายคิดถึงเกมลูกหนังหรือแม้แต่คนที่ชอบดูซีรีส์หายเหงาได้

“The English Game” เป็นซีรีส์ที่เพิ่งปล่อยให้ชมออนไลน์เมื่อกลางเดือนมีนาที่ผ่านมามีความยาว 6 ตอนจบ (สำหรับซีซั่นแรก) ครับ สร้างสรรค์โดย จูเลียน เฟลโลวส์ คนที่ทำซีรีส์ “Downton Abbey” ในอดีตนั่นแหละครับ หากย้อนไปไกลหน่อยก็ต้องบอกว่า เฟลโลวส์ แกเป็นคนเขียนบทสายคอนเซอร์เวทีฟมือฉมังคนหนึ่งเหมือนกัน เคยคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีอะคาเดมี อะวอร์ดส์ (ออสการ์นั่นแหละครับ) จากเรื่อง “Gosford Park” ของผู้กำกับ โรเบิร์ต อัลท์แมน ในปี 2002 มาแล้ว ดูซีรี่ย์ออนไลน์

“The English Game” เป็นซีรีส์แนวดรามาพีเรียดที่พูดถึงต้นกำเนิดของเกมฟุตบอลสมัยใหม่นั่นเองครับ เรื่องเริ่มเล่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 1879 หรือ 141 ปีที่แล้วที่ยังไม่มีเกมฟุตบอลในรูปแบบที่เราคุ้นเคย ไม่มีทั้งระบบลีก ไม่มีทั้งการซื้อขายนักเตะ ฟุตบอลในตอนนั้นเป็นเพียงแค่เกมกีฬาของกลุ่มชายหนุ่มชนชั้นสูงในอังกฤษ เป็นพวกมีฐานะดี มีการศึกษา มีชาติตระกูล มารวมตัวกันร่างกติกาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวให้กับการละเล่นที่เรียกว่า “ฟุตบอล” (ซึ่งเตะกันมาได้สักพักหนึ่ง) แล้วก็ตั้งเป็นสมาคมที่เรียกว่า “The Football Association” หรือ FA. พูดง่ายๆ ก็คือ รวมตัวกันเป็นสมาคม เขียนกติกากันเอง เล่นกันเอง คว้าแชมป์กันเอง อะไรทำนองนั้นแหละครับ

ทีนี้พอฟุตบอลรายการที่จัดกันเองอย่าง “FA. Cup” นั้นแพร่หลายออกไป คนส่วนใหญ่เริ่มให้ความสนใจมากขึ้น กีฬาฟุตบอลเริ่มไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มชนชั้นสูงหรือที่เรียกกันว่าเป็นกีฬาของ “สุภาพบุรุษ” อีกต่อไป คนรากหญ้า ชนชั้นแรงงานหรือ “Working Class” เริ่มรับกีฬานี้เข้ามาในชีวิตประจำวัน กีฬาฟุตบอลเริ่มขยายตัวออกไปทั้งทางมิติสังคม และมิติทางพื้นที่ที่เมืองทางเหนือของอังกฤษซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมไล่ไปถึงสกอตแลนด์ซึ่งอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษเริ่มเตะฟุตบอลกันมากขึ้น

รีวิว The Decline เมื่อการ “ปิดตาย” ไม่ใช่ทางออกของวิกฤตวันโลกแตก!


The Decline หนังสัญชาติแคนาดาที่สร้างขึ้นเพื่อฉายทางสตรีมมิ่ง Netflix โดยเฉพาะ ผลงานการกำกับของแพทริก ลาไลเบอร์เต้ บอกเล่าเรื่องราวสุดระทึก เมื่อบรรดาสมาชิกผู้หลงใหลในการเรียนรู้วิธีการเอาชีวิตรอดถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่มวลมนุษยชาติอาจจะต้องสูญพันธุ์ ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน จนมาซึ่งฝันร้ายที่ไม่มีใครคาดคิด

อองตวน (กิลโลม ลอริน) คุณพ่อผู้หมกมุ่นอยู่กับการเตรียมตัวรับมืออยู่กับวิธีการรับมือสถานการณ์วันโลกแตก เขาเป็นแฟนคลับของอลัน (เรียล บอสซี) ไลฟ์โค้ชออนไลน์ ผู้สอนวิธีการเอาตัวรอดจากสถานการณ์วิกฤตต่างๆ เช่น สถานการณ์ไวรัสระบาด หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ทำให้ ระบบสาธารณูปโภคของมนุษย์ถูกตัดขาด จะต้องทำอย่างไร

ในฉากเปิดเรื่องอองตวนใช้ความรู้ที่เขาศึกษาจากอลัน มาซ้อมหนีตายพร้อมกับครอบครัว ซึ่งสะท้อนให้เราเห็นว่าตัวละครนี้จริงจังกับการเตรียมตัวรับมือมากแค่ไหน จนกระทั่งวันหนึ่งอองตวนตัดสินใจเข้าร่วมแคมป์ฝึกปฏิบัติจริงกับอลันในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งเป็น “สถานพำนักและที่หลบภัย” ของอลันที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา

บรรดาผู้เข้าร่วมแคมป์ครั้งนี้ถูกนำตัวเข้ามาด้วยเลื่อนหิมะไฟฟ้า โดยพวกเขาจะถูกปิดตาตลอดทาง เพราะอลันเป็นห่วงในสวัสดิภาพความปลอดภัยของตัวเอง ถ้าหากเกิดวิกฤตจริงเรียกได้ว่าชายคนนี้เป็นคนระวังตัวในทุกฝีเก้า โดยคอร์สฝึกเอาตัวรอดระยะสั้นครั้งนี้ บรรดาผู้เข้าร่วมแต่ละคนต่างก็มาเพื่อเรียนรู้กันอย่างเต็มที่ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เมื่อระเบิดที่นำมาเรียนกันนั้นเกิดระเบิดขึ้นจริงและทำให้สมาชิกคนหนึ่งเสียชีวิต ท่ามกลางความแตกตื่นของทุกคน อลันกลับบอกว่า ถ้าหากเขาแจ้งตำรวจอาจจะทำให้สถานพำนักและที่หลบภัยของตัวเองถูกเปิดเผยและการที่เขาครอบครองอาวุธมากมายอาจะทำให้เขาถูกจับเข้าคุก

เมื่อความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่ต้องการจะแจ้งตำรวจและหนีออกจากสถานที่แห่งนี้ พวกเขาจึงถูกอลันตามล่า แต่สถานการณ์เริ่มเลวร้ายหนักขึ้นเมื่อจำนวนศพก็เริ่มเพิ่มขึ้น ทั้งอุบัติเหตุและการลอบสังหาร นำมาซึ่งเกมแมวไล่จับหนูสุดระทึก

April 20, 2020

[ขุดหนังเก่ามารีวิว] Valentine รักสยิวเชือดสยอง หนังที่นักวิจารณ์บอกห่วย แต่ฮิตข้ามกาลเวลา


พูดถึง Valentine ณ เวลานี้คนไทยคงนึกถึงแต่ 3 สาว โบ เจน นุ่น (แห่งวงซุปเปอร์วาเลนไทน์) กันหมดแล้ว แต่ถ้าให้ย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2001 ผมยังจำได้เลยว่า ตอนที่ได้ดูหนังเรื่อง Valentine รักสยิวเชือดสยอง ผมต้องเดินออกไปร้านเช่าวิดีโอที่ชื่อว่า VDO EZY (ใครทันยุคนี้แสดงตัวหน่อยครับ) ในราคาม้วนละ 30 บาท หนังใหม่ 1 คืน! ดูซีรี่ย์ออนไลน์

สมัยนั้นจะบอกว่าการหารีวิวหนังอ่านเป็นเรื่องไกลตัวมาก เพราะอินเตอร์เน็ตยังแพง และบ้านผมก็ไม่มีคอมพิวเตอร์ อย่างมากก็หาอ่านรีวิวผ่านหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็นิตยสาร ดังนั้นหนังอะไรที่ปกม้วนวิดีโอสวย ดารามีชื่อเสียง ก็หยิบมาดูหมดเลยครับ ยิ่งหนังสาวๆหุ่นเซี้ยะแถมมีฆาตกรโรคจิตมาไล่เชือดแล้ว ยิ่งเป็นหนังโปรดเลย เพราะส่วนตัวชอบดูหนังตื่นเต้นสยองขวัญจนที่บ้านกลัวว่าลูกชายตัวเองจะเป็นโรคจิต! อยู่พักใหญ่ (เดี๋ยวจะเขียนถึงในตอนต่อไปครับ)

ผมเลยไม่ทราบว่าที่อเมริกา Valentine สมัยเข้าโรงฉายมันเป็นหนังที่โดนนักวิจารณ์ด่าเละเทะ จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้เองครับ เพราะจำได้ว่าสมัยที่ดูตื่นเต้นมาก แค่ฉากเปิดเรื่องฉากที่แชลลีย์ (แคเธอรีน ไฮเกล) โดนฆาตกรหน้ากากคิวปิดไล่ฆ่าในห้องเก็บศพก็น่ากลัวแทบจะปิดตาดู ทั้งที่จริงพล็อตเรื่องมันไม่มีอะไรเลย สรุปสั้นๆคือกลุ่มเพื่อนสาวหน้าตาสวย ดาวไฮสคูลที่เติบโตมามีชีวิตและหน้าที่การงานเริ่ดๆ กำลังถูกตามล่าจากฆาตกรลึกลับ และพวกนางก็โดนฆ่าตายไปทีละคน

แน่นอนล่ะว่าถ้าหยิบหนังเรื่องนี้มาดูในยุคปัจจุบัน คงเรียกได้ว่ามันเป็นหนึ่งในหนังพล็อตกลวงๆอย่างไม่อาจปฏิเสธ แต่เมื่อเราดูในยุค 19 ปีที่แล้ว ฉากไล่เชือดในหนังเรื่องนี้ถือว่าความคิดสร้างสรรค์มาก อาทิ ลิลลี่ (เจสสิก้า ค็อฟฟิล) ได้รับกล่องช็อคโกแลตที่เต็มไปด้วยหนอนยั้วเยี้ย ก่อนที่เธอโดนไล่ล่าในแกลลอรี่จัดแสดงงานศิลปะผ่านโปรเจ็คเตอร์ ด้วยลูกธนูคมกริบ ฉากสาวเพจ (เดนิส ริชาร์ด) ลงไปแช่จากุสซี่ก่อนจะถูกฆาตกรจับเธอขังไว้ในอ่างแล้วเอาสว่านไฟฟ้ามาไล่เจาะรู แทงเธอเล่นให้สาแก่ใจ ยังไม่รวมไปถึงฉากสุดสยิวที่เพจจับชายหนุ่มจอมหื่นมัดไว้กับเตียงและราดน้ำตาเทียนใส่อวัยวะเพศ ก็ล้วนแต่เป็นภาพจำของหนังเรื่องนี้ได้ดีทีเดียว

April 19, 2020

[รีวิว] Low Season สุขสันต์วันโสด - ดูจบอยากไปดอย


หลังเห็นผีจนได้เรื่องแถมโดนหักอกจากซุปตาร์คนดัง หลิน (พลอยไพลิน ตั้งประภาพร)เลยหอบใจพัง ๆ เดินทางขึ้นเหนือสู่ดอยกิ่วแม่ปานจุดเริ่มต้นสัม พันธ์รักที่เพิ่งจบลงไป และในระหว่างทางเธอก็ได้พบกับ พุทธ (มาริโอ้ เมาเร่อ) หนุ่มนักเขียนบทสุดกวนที่มาหาแรงบันดาลใจในการเขียนบทหนังผี โดยปลายทางของพุทธคือการไปหาพี่จเร (นาคร ศิลาชัย) ชายเห็นผีที่หลินสัมผัสได้ถึงความสยองลึก ๆ แถมพ่วงด้วยแก๊งใจพังแห่งโฮมสเตย์บนดอยทั้ง พี่โอม (โจ๊ก-อัครินทร์ อัครนิธิเมธรัฐ) เจ้าของโฮมสเตย์โคตรติสท์ พี่อ้อม (อ้น-ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์) ผู้ช่วยดูแลพี่โอมที่หวังจะไม่โสดเพราะเธอมีใจให้เขา วิทยา (นิกกี้-ณฉัตร จันทพันธ์) หนุ่มปากมากที่หลงรัก นุ่น (โฟร์-ศกลรัตน์ วรอุไร) สาวรุ่นพี่ขี้เมา เมื่อคนใจพังมารวมกันในช่วงหน้าโลว์ซีซัน ความฮาแบบพัง ๆ จึงบังเกิด

หลังทิ้งห่างผลงานในนามสาระแนทั้งหลาย เป้-นฤบดี เวชกรรม ก็กลับมาอีกครั้งกับ Low Season หนังรักตลกมีผีที่แอบมีแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงหน้าโลว์ซีซันที่บรรยากาศไม่ได้ด้อยไปกว่าหน้าไฮแต่อย่างใด ซึ่งจุดที่ดึงผมสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นการนำพี่เปิ้ล นาคร กลับมาเจอกับ มาริโอ้ อีกครั้งนี่แหละ เพราะเคมีประหลาด ๆ ของทั้งคู่ใน สาระแนเห็นผี เคยทำให้คนดูหัวเราะกรามค้างมาแล้ว แต่กระนั้นในภาพรวมของ Low Season ก็ไม่ได้ไปทาง สาระแนเห็นผี เสียทีเดียวแม้จะมีองค์ประกอบคล้าย ๆ กัน แต่หนังก็เลือกจะไปในทางโรแมนติก และ เรื่องราวที่มีจุดศูนย์กลางที่การรวมตัวคนอกหัก คนพัง ๆ ซึ่งจุดเด่นที่สุดของบทหนังก็อยู่ที่การสร้างคาแรกเตอร์ที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องราวที่เดินไปอย่างมีทิศทางเพราะขณะที่การเล่าเรื่องของมันไม่อาจทำให้คนดูเอาใจช่วยหรือหาเหตุผลให้รักตัวละครนำทั้งสองได้แล้ว การใส่ซีนเห็นผียังดูไม่เข้าพวกและเพิ่มความน่ารำคาญให้หนังเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหากใครคาดหวังจะได้ดูหนังรักจี๊ด ๆ ก็ยังคงไม่ตอบสนองนักและพาร์ตโรแมนติกของหนังก็ไม่ทำงานอย่างที่คาดหวังเท่าไหร่ แต่หากหวังความฮาจากคาแรกเตอร์ประหลาด ๆ อันนี้เชื่อมือเป้ นฤบดี ได้เลย

ว่ากันตามตรงเลยคือคาแรกเตอร์นำของหนังอย่าง หลิน และ พุทธ นี่ก็คือสต็อกคาแรกเตอร์ (ลักษณะตัวละครที่เราคุ้นเคย เห็นซ้ำ ๆ​) ที่หนังพยายามเติมความประหลาดเข้าไปทีละเล็ก ทีละน้อย เริ่มจาก หลิน หญิงสาวใจพัง อกหัก อันนี้ไม่บอกก็รู้เลยว่าเป็นการดึงคาแรกเตอร์ส่วนหนึ่งมาจาก พลอยไพลิน เจ้าของเพจ พลอยเรียนจบแล้วทำอะไรต่อ? ที่เน้นคาแรกเตอร์สาวลุยแต่กำลังค้นหาตัวตนมาผสานกับความสามารถเห็นผี ที่ถือเป็นมุกเด็ดของเรื่อง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเสน่ห์สไตล์สาวแว่นของเธอช่วยกลบแอ็กติงที่ดูใหญ่โตและไม่ค่อยเข้าพวกได้แนบเนียนอยู่เหมือนกัน ส่วนบท พุทธ ของ มาริโอ้ เมาเร่อ ก็ถือเป็นการทดสอบคาแรกเตอร์ที่เป็น เดอะแบก ของหนังอย่างแท้จริง เพราะทุกฉากที่โอ้ปรากฎตัวคือหนังจะไม่มีจังหวะที่เอื่อยเฉื่อยแต่อย่างใดและยังพอจะเจือความโรแมนติกให้สาว ๆ ได้ฟินอยู่บ้าง ตรงข้ามกับฉากอกหักของหลินที่พลอยไพลินยังแสดงแบบไม่มีอินเนอร์อะไรนักเน้นร้องไห้เป็นหลักอย่างเดียว แต่ก็แอบเสียดายว่าหนังเองก็ยังใช้ความสามารถของนักแสดงคุณภาพอย่าง มาริโอ้ เมาเร่อ ได้ไม่คุ้มค่าเท่าใดนักเพราะหนังต้องไปให้เวลากับบรรดาตัวละครสมทบ อีกทั้งพาร์ตโรแมนติกของทั้งคู่ยังเริ่มง่ายจบง่ายแค่คนอกหักมาสปาร์คกันเฉย ๆ เราเลยไม่รู้สึกนำพาหรือลุ้นอยากให้ทั้งคู่รักกันเหมือนหนังรักเรื่องอื่น ๆ

April 18, 2020

รีวิว Our House ผีกับอดีตอย่างไหนน่ากลัวกว่ากัน


ท่ามกลางกระแส “นาคี 2” ฟีเวอร์ทั่วประเทศ ส่งผลทำให้หนังสยองขวัญฟอร์มเล็กๆที่เข้าฉายในเวลาเดียวกันอย่าง Our House ถูกกลืนหายเข้ากลีบเมฆไปแล้วเรียบร้อย ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของอีธาน (โธมัส มานน์) หนุ่มนักศึกษาอนาคตไกลที่เขากำลังทำโปรเจ็ควิทยาศาสตร์ในการทดลองประดิษฐ์อุปกรณ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าในระบบไร้สาย แต่ระหว่างที่เขาพยายามทำการทดลองนั่นเอง เขากลับได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านและพบว่าพ่อและแม่ของเขาถูกรถชนเสียชีวิตคาที่ ทิ้งบรรดาลูกๆทั้งสามไว้ข้างหลัง

ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจ อีธานต้องผันตัวเองมาเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อดูแลน้องชายคนกลางอย่างแมทท์ (เพอร์ซีย์ ไฮเนส ไวท์) และเบคก้า (เคท โมเยอร์) น้องสาวคนเล็ก แต่การก้าวมาเป็นคนดูแลครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะภาระหนี้สินละความรับผิดชอบอันหนักอึ้ง ทำให้อีธานต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย บอกเลิกกับแฟนสาว (นิโคล่า เพลท์ซ) และมาสมัครงานเป็นพนักงานในซูเปอร์มาร์เกต เท่านั้นยังไม่พอ กลางวันเขาก็ต้องสาละวนกับการไปรับไปส่งน้องๆ กลับมาทำงานและพอตกกลางคืนอีธานพายามเปลี่ยนโรงรถที่บ้าน เพื่อพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ให้สำเร็จ แต่สิ่งที่เขากำลังพัฒนาอยู่กลับไม่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางเอาไว้ เมือมันกลายเป็นเครื่องปลุกพลังงานบางอย่างขึ้นมา

ในตอนแรกสามพี่น้องเชื่อว่า พลังงานลึกลับดังกล่าวคือวิญญาณของพ่อแม่ตัวเองที่กลับมาเยี่ยมเยียนลูกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสามกลับพบว่าวิญญาณตนนั้นไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเขา แต่เป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญและมาพร้อมปริศนาที่อีธานต้องสืบให้พบว่าจริงๆแล้ว สิ่งประดิษฐ์ของเขานำพาอะไรมาในบ้านหลังนี้กันแน่

Our House ดำเนินเรื่องค่อนข้างเนิบช้าและสำรวจอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครอีธานและน้องๆมากกว่าจะพยายามใส่ฉากตุ้งแช่แกล้งหลอกคนดู เราจะได้เห็นสภาวะความหม่นเศร้าของอีธานในการสลัดอดีตอันแสนปวดร้าวให้พ้นไป แต่มันก็เหมือนว่าน้องชายยังคงมองว่า พี่ชายของเขาคือต้นเหตุในการเสียชีวิตของพ่อแม่ (ถ้าหากพ่อแม่พวกเขาไม่เดินทางออกไปรับอีธาน ทุกคนก็จะยังมีชีวิตปกติ) ส่วนน้องสาวคนสุดท้องก็ง่วนอยู่กับการฝึกว่ายน้ำอย่างขะมักเขม้น และในยามกลางคืนเธอเชื่อว่าพ่อและแม่ของเธอยังคงมาส่งตัวเองเข้านอนตามปกติ

April 17, 2020

รีวิว Bumblebee ภาคที่ดีที่สุดในแฟรนชายส์ Transformers


แม้ว่าส่วนตัวจะพยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำเชิงอัตวิสัย (เช่น ดีที่สุด ห่วยที่สุด) เพื่อเขียนรีวิวหนังเรื่องไหนสักเรื่อง เพราะแน่นอนว่าคนเรามีรสนิยมที่แตกต่างกันมาก มันไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าหนังเรื่องไหนจะเป็นหนังที่เลว หรือหนังที่ดี เพียงแค่มุมมองของคนใดคนหนึ่ง


แต่ถ้าหากเรามองย้อนกลับไปตั้งแต่ที่ Transformers ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่ในปี 2007 โดยไมเคิล เบย์ เราจะค้นพบว่า องค์ประกอบในหนังหุ่นยนต์ชุดนี้ถูกออกแบบมาให้เต็มไปด้วยความรุนแรง การโรมรันต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง รถสปอร์ตที่พร้อมแปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ ตัวละครผู้ชายในลักษณะคาแรกเตอร์ที่เต็มไปด้วยฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรน ส่วนตัวละครผู้หญิงกลับมีลักษณะเป็นแค่เพียง “วัตถุทางเพศ” (Sex Object) เท่านั้น และแน่นอนว่าความตีบตันดังกล่าวก็ได้เดินทางมาถึงจุดล่มสลายเมื่อหนัง Transformers: The Last Knight คือภาคที่นักวิจารณ์และคนดูความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าหนังดู “ไม่มีชีวิต” และน่าเบื่อมากที่สุด

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตัวผู้เขียนเองก็ไม่เคยชอบ Transformers สักภาค จนกระทั่ง Bumblebee ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของทราวิส ไนท์ (Kubo and the Two Strings) และเขียนบทโดย คริสติน่า ฮอดสัน สามารถทำให้เรารู้สึก “เข้าถึง” ตัวละครในหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่า Bumblebee จะเล่าเหตุการณ์ย้อนกลับไปในปี 1987 เมื่อหุ่นสีเหลืองบัมเบิ้ลบีจากดาวอันไกลโพ้นลี้ภัยมายังโลกมนุษย์ ในเวลาไล่เลี่ยกันไม่นานนัก ชาร์ลี (เฮลีย์ สไตน์เฟลด์) สาวน้อยในวัย 18 ปี ได้ค้นพบกับบัมเบิ้ลบี ในสภาพของรถโฟลค์สวาเกนที่มีสภาพผุพัง ขาดการใช้งาน เธอตัดสินใจนำมันกลับมาที่บ้านเพื่อซ่อมแซม ไม่นานนักเธอค้นพบว่า บัมเบิ้ลบีไม่ใช่แค่รถธรรมดาคันหนึ่งเท่านั้น


ถ้าจะว่ากันตามตรงความสนุกของ Bumblebee อาจจะไม่ใช่ความสนุกจากฉากแอ็คชั่นระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบภาคก่อนๆที่ผ่านมา (แน่นอนฉากเหล่านั้นยังคงมีอยู่ตลอดทั้งช่วงเปิดเรื่อง กลางเรื่อง และไคลแมกซ์) แต่หนังกลับทำให้คนดู “รู้สึก” เข้าใจตัวละครทั้งฝั่งมนุษย์อย่างชาร์ลี ว่าเธอกำลังเผชิญกับอะไรในชีวิตตัวเอง ความรู้สึกเรื่องความสูญเสียพ่อ การก้าวผ่านช่วงวัย เช่นเดียวกันกับฝั่ง “บัมเบิ้ลบี” ที่เราได้เรียนรู้ว่าเขาผ่านอะไรมา มีภารกิจอะไร และเขาต้องปรับตัวเช่นไรเพื่อเอาชีวิตรอดบนโลกมนุษย์


เมื่อคนดู “เข้าใจ” ในสภาวะของตัวละคร ที่เหลือก็คือการใส่สถานการณ์ที่ทำให้เราอยากจะเอาอกเอาใจช่วยพวกเขาให้ผ่านพ้น “ปัญหา” ของตัวเองไปได้ แน่นอนว่าการแสดงก็จัดเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนัง “มิตรภาพระหว่างคนและหุ่นยนต์” ที่น่าจดจำตลอดกาลเรื่องหนึ่ง ต้องชื่นชมเฮลีย์ สไตน์เฟลด์ ว่าเธอสามารถโอบอุ้มบทชาร์ลีออกมาได้ดี (เพราะถ้าหากเธอเล่นแบบไม่เข้าใจ โอกาสที่ตัวละครชาร์ลีจะออกมาน่ารำคาญก็เป็นไปได้สูงมาก)


ทั้งหมดทั้งมวล Bumblebee คือการเล่าเรื่อง และกำกับในมุมมองใหม่ ซึ่งทำให้เราเห็นว่า บางครั้งการเปลี่ยนตัว “ผู้กำกับ” ก็สามารถทำให้หนัง “ทึนทึก” สักเรื่อง กลายเป็นหนังที่เปิดมุมมองและสร้างความสนุกในมุมใหม่ๆได้เช่นกัน

April 16, 2020

รีวิว Altered Carbon: Resleeved ภาคแยกที่เหมาะกับคนที่ดูซีรีส์มาก่อนแล้ว


เรื่องย่อ ณ ดาวเคราะห์ลาติเมอร์ ทาเคชิ โคแวกส์ ต้องรับภารกิจปกป้อง ฮอลลี่ ช่างสักสาวที่มีหน้าที่สำคัญในพิธีสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าแก๊งยากูซ่า ซึ่งในขณะนี้กลายเป็นเป้าสังหารของกลุ่มปริศนาที่รายล้อมด้วยความขัดแย้งในแก๊งและความพยายามยับยั้งพิธีสืบอำนาจ โดยมีทหารซีแท็กเข้ามาสังเกตการณ์ความวุ่นวายนี้อยู่เช่นกัน


เป็นแอนิเมชันที่ใช้เทคนิคภาพสะดุดตาอีกเรื่องหนึ่งสำหรับ Altered Carbon: Resleeved ที่ถือเป็นหนังภาคแยกของซีรีส์ไซไฟทางเน็ตฟลิกซ์อย่าง Altered Carbon ที่มี 2 ซีซันมาแล้ว ซึ่งถ้าใครเล่นเกมอย่าง Street Fighter V ก็น่าจะรู้สึกว่าแอนิเมชันเรื่องนี้คล้ายเกมนั้นมาก ทั้งสีหน้าท่าทางตลอดจนเทคนิคภาพโมเดล 3 มิติต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เพราะสองผู้กำกับอย่าง นากาจิมะ ทาเครุ และ โอกาดะ โยชิยูกิ นั้นเป็นแอนิเมเตอร์ที่โตมาจากสายงานเกม โดยผลงานที่ทั้งคู่ทำร่วมกันมาก่อนหน้านี้ก็คือฉากเล่าเรื่องของเกม Fire Emblem: Fates นั่นเอง ซึ่งการตัดสินใจใช้เทคนิคภาพแบบนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือตื่นตาแปลกใหม่พอสมควรกับแอนิเมชันที่จะฉูดฉาดเป็นคอมิกสไตล์ที่สวยมาก ๆ ส่วนข้อเสียก็คือมันเปิดช่องให้มีพวกสีหน้าแบบโอเวอร์แอ็กติงได้เยอะและท่วงท่าการเดินพวกฉากพื้นฐานที่ไม่ใช่ฉากต่อสู้ มันก็จะดูแข็ง ๆ อยู่เหมือนกัน

มาว่าที่เนื้อเรื่องก็ต้องบอกว่าน่าจะเหมาะกับคนที่ดูซีรีส์ซีซันแรกเป็นอย่างน้อยจบมาแล้ว (ทางที่ดีคือควรดูจบทั้ง 2 ซีซันมาก่อน) เพราะนอกจาก ทาเคชิ โคแวกส์ ที่เป็นพระเอกประจำซีรีส์จะถูกนำมาใช้แบบไม่ปูประวัติกันให้เสียเวลาอีกต่อไปแล้ว เนื้อหายังเป็นช่วงการคาบเกี่ยวสำคัญถ้าเข้าใจถูกต้องนี่คือช่วงเวลาหลังจากโคแวกส์หนีตายจากสงครามสตรองโฮลด์ที่พวกเอนวอยตายกันหมดส่งผลให้เขาเป็นทหารเอนวอยคนสุดท้าย และก่อนที่เขาจะถูกทหารซีแทคตามล่าถอดเปลือกหรือสลีฟของเขาออกอันเป็นจุดเริ่มของตอนแรกในซีซัน 1 ด้วย ทั้งนี้ที่ต้องบอกว่าถ้าเข้าใจถูกก็เพราะว่ามันมีจุดไม่สมเหตุสมผลอยู่นิดหน่อยตรงที่หากเป็นเนื้อเรื่องในช่วงนี้รูปลักษณ์ของโคแวกส์ในแอนิเมชันนี้ควรคล้ายกับร่างดั้งเดิมที่เป็นชายเอเชียผอมผมยาวประบ่า แต่ในแอนิเมชันนี้กลับเป็นร่างที่ดูคล้ายเปลือกที่เขาสวมในซีรีส์ซีซันแรกเสียมากกว่า จะว่าถูกปลุกมาใส่สลีฟนี้เป็นการเฉพาะช่วงเวลาก็จะไม่ตรงกับฉากเริ่มในซีซันแรกที่เป็นเปลือกดั้งเดิมของโคแวกส์ด้วย เพราะในแอนิเมชันนี้บอกเล่าว่าเขาสวมเปลือกนี้ไปยาว ๆ เลยด้วย


เอาเป็นว่ามองข้ามตรงนั้นไป เราก็จะเห็นว่าคนเขียนบทอย่าง ซาโต้ ได ที่เคยเขียนบทหนัง Casshern (2004) สามารถหยิบจับช่วงเวลาที่ซีรีส์ยังไม่ได้พูดถึงมาใช้ได้ฉลาดดี โดยเฉพาะการเชื่อมโยงไปถึงแก๊งยากูซ่าของทานาเซดะ ฮิเดกิ ที่มีบทบาทสำคัญในซีรีส์ซีซันสองด้วยนั้น ก็ช่วยเติมเต็มเรื่องราวให้ซีรีส์ได้อิ่มขึ้นด้วย และสำหรับเนื้อเรื่องเฉพาะในแอนิเมชันนี้เองก็ดึงข้อเด่นในเรื่องสแตกกับสลีฟ หรือจิตกับเปลือกในลักษณะ รู้หน้าไม่รู้ใจ ได้อย่างดี ทั้งยังเสริมลูกล่อลูกชนในส่วนของกลุ่มต่าง ๆ ที่เข้ามาพัวพันกับพิธีสืบทอดตำแหน่งได้สนุกทั้งทหารซีแทกและกลุ่มทรยศในแก๊งยากูซ่าเอง ที่พีกสุดคงต้องยกให้ความกล้าในการใช้ตัวละครตัวเด่นของซีรีส์มาปรากฏตัวในแอนิเมชันแบบที่คนดูได้ช็อกเลยทีเดียว

April 15, 2020

เมื่อ Netflix ชวนไปสนทนากับ “คริส เฮมส์เวิร์ธ” ตัวเป็นๆ ว่าด้วยเรื่องอภิมหาความระห่ำใน “Extraction”


หลายคนอาจคิดว่า การได้เผชิญหน้าและพูดคุยกับ คริส เฮมส์เวิร์ธ นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดังคงเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันที่เป็นไปได้ยาก แต่จู่ๆ ความฝันนั้นก็กลายเป็นความจริง เพราะชายหนุ่มที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีในบทบาทเทพเจ้าธอร์ในจักรวาลมาร์เวลนั้นนั่งอยู่เบื้องหน้าเราในบ่ายวันนั้นที่อากาศร้อนอบอ้าวไม่แพ้ในช่วงนี้

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปลายปี 2018 เกิดคลิปไวรัลในโลกออนไลน์ที่เล่าเหตุการณ์การฟันฝ่าการจราจรอันติดขัดในกรุงเทพมหานครของ คริส เฮมส์เวิร์ธ พร้อมทั้งข่าวคราวการเดินทางมาถ่ายทำภาพยนตร์ของ Netflix เรื่องใหม่ที่ขณะนั้นยังใช้ชื่อว่า Dhaka อีกไม่กี่วันถัดมา Sanook TV/Movies ตอบรับคำเชิญของ Netflix มุ่งหน้าสู่จังหวัดราชบุรี เพื่อไปสอดแนมดูเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเรื่องดังกล่าว รวมถึงจะได้สนทนากับ คริส เฮมส์เวิร์ธ ด้วย

ร่างกายอันกำยำภายใต้เสื้อผ้าทหาร ใบหน้าที่เลอะเปรอะเปื้อนและเต็มไปด้วยหงาดเหงื่อ ไม่ได้ทำให้ความเท่ของพระเอกหนุ่มชาวออสเตรเลียผู้นี้ลดน้อยลงแต่อย่างใด เกือบๆ 30 นาทีที่เราได้พูดคุยกับ คริส เฮมส์เวิร์ธ ร่วมกับสื่อไทยและเทศเกี่ยวกับภาพยนตร์แอ็คชั่นที่แปรเปลี่ยนจากชื่อ Dhaka มาเป็น Extraction ซึ่งเขารับบทนำ ออร่าแห่งความเป็นพระเอกสุดระห่ำของเขาก็เปล่งประกายตลอดเวลาอย่างแท้จริง

บทบาทใหม่ของ คริส เฮมส์เวิร์ธ ใน Extraction ระห่ำแค่ไหน? แล้วจริงๆ เขามีความเห็นอย่างไรกับเรื่องรถติดในเมืองไทย? ไปค้นหาคำตอบพร้อมกัน

April 14, 2020

รีวิว I Am Jonas รักในรอยจำ


“ผู้ใหญ่ในวันนี้คือวัยรุ่นเมื่อวันวาน”  เช่นเดียวกันกับโจนาส (Félix Maritaud) เกย์หนุ่มอารมณ์ร้อน ประกอบอาชีพผู้ช่วยพยาบาลในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ยามวิกาลเขาชอบออกไปเตร็ดเตร่บาร์เกย์ที่ชื่อ Boy Paradiseและพลอดรักกับชายแปลกหน้าอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความขี้หงุดหงิดและเสพย์ติดความรุนแรง โจนาสจึงมักจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเกย์คนอื่นอยู่เสมอ

หนังอาศัยการตัดสลับช่วงชีวิตในวัยรุ่นของโจนาสในช่วงปี 1997 เขาดูเป็นวัยรุ่นขี้อาย ชอบปลีกตัว จนกระทั่งเขาได้พบกับนักเรียนที่ย้ายมาใหม่อย่างนาตอง (Tommy-Lee Baïk) ซึ่งดูเป็นหนุ่มหัวขบถ ขี้เล่น ได้พยายามตีซี้กับโจนาส

ชีวิตในช่วงวัยผู้ใหญ่ของโจนาส เผยให้เห็นว่าเขาล้มเหลวแทบทุกทาง ทั้งชีวิตคู่ที่เขาโดนแฟนหนุ่มเฉดหัวออกจากบ้านเพราะถูกจับได้ว่าเขาชอบใช้แอปพลิเคชั่นหาคู่นอนเพื่อออกไปมีเซ็กซ์ เที่ยวเตร่กลับดึก อารมณ์ฉุนเฉียวของเขามักจบลงด้วยการหาคู่นอนหุ่นดีเพื่อบำบัดอารมณ์ทางเพศ หน้าที่การงานที่ดูเละเทะไม่เป็นโล้เป็นพาย

เมื่อหนังตัดสลับกลับมาในช่วงวัยรุ่นที่โจนาสยังคงเป็นเกย์เด็กน้อยที่แทบไม่รู้ประสีประสาอะไร นาตองเป็นเหมือนทั้งเพื่อนผู้ชายคนสนิทและเป็นคนที่โจนาสรู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่ด้วย ทั้งสองสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว นาตองมักจะหาเรื่องหนีเรียนและชวนโจนาสแอบมาใช้เวลาด้วยกันที่โรงยิม นาตองพยายามล้วงความรู้สึกของโจนาสออกมาเพราะเขาดูออกว่าโจนาสแทบไม่มีเพื่อนเลย ทันทีเมื่อสบโอกาสนาตองเลยจับโจนาสจูบอย่างดูดดื่ม เขาได้เผยความรู้สึกที่ตัวเองมีให้โจนาสอย่างสุดตัว ทั้งสองจึงใช้เวลาอยู่ด้วยกันนับแต่นั้นมาตลอดชั้นการศึกษา

กลับมาที่โจนาสวัยผู้ใหญ่ที่ดูเป็นด้านกลับตาลปัตร อย่างสิ้นเชิงกับวัยเด็กจนนำไปสู่คำถามที่ว่า “อะไร” ทำให้เกย์หนุ่มคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ ระหว่างที่ผู้ชมได้รับเบาะแสที่ละเล็กทีละน้อยเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราว หนังก็ทำให้เราเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างโจนาสและนาตองในวัยเด็กนั้น เป็นความรักครั้งแรกที่สวยงาม เต็มไปด้วยความสุขในแบบหนุ่มสาวที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้น แต่การตัดสินใจที่คึกคะนองและปราศจากการยั้งคิดอาจจะนำมาซึ่งบทเรียนอันแสนยิ่งใหญ่และกลายเป็นตราบาปในชีวิตไปเลยก็ได้เช่นกัน

April 10, 2020

รีวิว Bad Boys for Life กำเนิดใหม่ของคู่หูไมอามี่


Bad Boys for Life คือการกลับมาของสองตัวละครคู่หูนายตำรวจสุดระห่ำอย่างไมค์ โลเวอรี่ และ มาร์คัส เบอร์เน็ตต์อันเป็นบทบาทที่สร้างชื่อให้กับสองนักแสดงผิวสีอย่างวิล สมิธ และ มาร์ติน ลอว์เรนซ์ ซึ่งหนังภาคนี้ทิ้งระยะห่างจากหนัง Bad Boys 2 นานถึง 17 ปีเต็ม

ถ้ามองแง่การนำแฟรนชายส์ชุดนี้กลับมาขึ้นจอใหญ่อีกครั้ง ของสตูดิโออย่างโซนี่ พิคเจอร์ส คือความคาดหวังที่จะสานต่อจักรวาล Bad Boys ให้กลับมาโลดแล่นนจอใหญ่และหวังผลระยะยาวด้วยการจับกลุ่มคนดูกลุ่มใหม่ๆ แน่นอนว่าถ้าหากหนังประสบความสำเร็จ

การสร้างภาค 4-5-6 จะต้องตามมาอย่างแน่นอน ประกอบกับก่อนหน้านี้หนังแฟรนชายส์หลายเรื่องของโซนี่ พิคเจอร์ส ถือได้ว่าไม่ได้รับความนิยมหรือรายได้ไม่เข้าเป้าอาทิ Men In Black, 21 และ 22 Jump Street ที่ลือกันว่าจะมีภาคต่อ หรือครอสโอเวอร์จักรวาลกันแต่ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างจนปัจจุบันโปรเจ็คได้หายเข้ากรุไปแล้ว Charlie's Angels ล้มเหลวอย่างหนักเมื่อปลายปีก่อน ส่วน Resident Evil และ Underworld ก็จบมหากาพย์ไปเรียบร้อบแล้ว (แต่โซนี่ก็ยังมีแผนที่จะรีบูต Resident Evil กลับมาอีกรอบเร็วๆนี้) ดังนั้นเมื่อพิจารณาแฟรนชายส์ที่ยังดูได้รับความนิยมจากคนทั่วโลกคงเหลือแค่ James Bond และ Jumanji เท่านั้น



April 09, 2020

รีวิว 1917 สงครามและการเดินทาง


สิ่งที่โดดเด่นที่สุดสำหรับ 1917 คือภาพยนตร์แนวสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบเรียลไทม์ ตัวหนังพูดถึงการเดินทางของตัวละครจากจุดหนึ่งไปยังจุดหมายปลายทาง แบบไร้รอยต่อระหว่างเหตุการณ์ โดย 1917 อาศัยเทคนิคพิเศษในการถ่ายทำภาพยนตร์เพื่อนำมาสร้างเหตุการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในหนัง ให้ความสมจริงราวกับเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นตรงหน้าของผู้ชม ดูซีรี่ย์ออนไลน์

หนังถ่ายทอดเรื่องราวของทหารหนุ่มชาวอังกฤษสองนาย พลทหารสโคฟิลด์ (จอร์จ แม็คเคย์) และพลทหารเบลค (ดีน-ชาร์ลส์ แช็ปแมน) ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจสุดอันตรายและมีโอกาสที่จะสำเร็จนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อทั้งสองต้องออกเดินทางข้ามเขตแดนของศัตรูเพื่อไปส่งข่าวสารสำคัญ ไม่ให้เหล่าทหารอังกฤษออกไปจากแนวหน้าในการโจมตีศัตรู ถ้าหากภารกิจนี้สำเร็จ

ทั้งสองจะสามารถรักษาเพื่อนชีวิตทหารจำนวน 1,600 นายเอาไว้ได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพี่ชายของตัวเบลคเอง

1917 เริ่มต้นฉากแรกจากนายทหารหนุ่มสองคนต้องออกเดินทางจากกองทหารของตัวเองเพื่อลัดเลาะออกไปตามเส้นทางที่ไม่คุ้นชินตามลำพัง โดยเทคนิคของการใช้กล้องติดตามตัวละครโดยแทบไม่มีการตัดต่อ (ที่จริงมีการตัดต่อ แต่คนดูแทบไม่สามารถมองหาตะเข็บรอยต่อเหล่านั้นเจอ)

ซึ่งช่วยเพิ่มอารมณ์ลุ้นระทึกและความน่าหวาดระแวงของผู้ชมไปพร้อมกับตัวละครขึ้นเรื่อยๆ อาทิ ฉากที่ทั้งสองต้องฝ่าลวดหนามและลุ้นว่าเหล่าข้าศึกอย่างเยอรมันถอนทัพออกไปแล้วหรือยัง ฉากอุโมงค์ระเบิดเพราะเหตุไม่คาดฝัน หรือเมืองร้างยามวิกาล ฯลฯ เป็นต้น


แซม เมนเดส ผู้กำกับของเรื่อง ได้หยิบเอาเรื่องเล่าของคุณปู่ตัวเองในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 มาขึ้นจอใหญ่ได้อย่างน่าสนใจ ยิ่งไปกว่านั้น 1917 ยังเป็นหนังสงครามที่สื่อสารออกมาผ่านมุมมองของ “คนตัวเล็ก” คนหนึ่งที่จำเป็นต้อง

ต่อสู้ดิ้นรน และเอาชีวิตรอดจากความเลวร้ายในชีวิตอย่างไม่มีทางเลือก ตลอดเส้นทางการเดินทางของตัวละครเราจะได้เห็นหลากอารมณ์ หลายความรู้สึกที่ตัวละครต้องเผชิญ ทั้งความหวาดกลัว ความคิดถึงคนรักที่เฝ้ารออยู่ที่บ้าน ความปรารถนาดีของตัวละครอันกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้คนดูเห็นว่า ตัวละครทุกตัวในหนังเรื่องนี้คือมนุษย์ล้วนแล้วกระทำผิดพลาดในชีวิตได้เช่นกัน

April 08, 2020

รีวิว: HORSE GIRL



รีวิว:เจฟฟ์ Beana HORSE GIRLเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์หลังจากที่เขาทำรายการซันแดนซ์ที่น่าเชื่อถืออย่างไร้ความปราณีชั่วโมงเล็ก ๆ น้อย ๆ และชีวิตหลังเบ็ต จับคู่เขากับเลดี้อลิสันเบรีบ่อยๆมันเป็นความเจ็บป่วยทางจิตที่ไม่เหมือนใครซึ่งน่าจะเข้าใกล้บ้านหลายคน แน่นอนว่ามันจะช่วยให้ Brie มีบทบาทที่เป็นตัวละครที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละครที่ช่วยให้เธอสามารถยืดและเป็นอินดี้ที่แข็งแกร่งที่หวังว่า Netflix จะทำ มันเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสามารถสร้างและดูได้โดยผู้ชมจำนวนมาก

Beana ทำสิ่งที่น่าสนใจโดยนำเราเข้าสู่ความคิดของซาร่าห์ จากจุดเริ่มต้นเรารู้ว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าใช้เวลาตลอดทั้งคืนที่บ้านเธอหมกมุ่นอยู่กับละครวิเศษที่เรียกว่า PURGATORY (พร้อมกับขั้นตอนในชีวิตจริงของRobin Tunneyและ Matthew Gray Gubler ในฐานะดาราในภาพยนตร์) นั่นคือตอนที่เธอไม่ได้ขี่ม้าอดีตของเธอซึ่งถูกขายออกมาจากใต้เธอหลังจากพ่อเลี้ยงผู้มั่งคั่ง ( พอลไรเซอร์ - ในบทบาทที่เห็นอกเห็นใจ แต่น่าแปลกใจ) ออกจากครอบครัวเมื่อแม่ของเธอเสีย


อลิสันเบรีสาวม้า

ปัญหาเริ่มขึ้นเมื่อซาร่าห์เริ่มมีนิมิตแปลก ๆ และเดจาวูนำเธอไปสู่ความเชื่อที่บ้าคลั่งว่าเธอเป็นวิญญาณของคุณยายผู้ล่วงลับไปแล้ว ตลอดเวลาที่เธอพยายามที่จะดำเนินชีวิตของเธอเข้าไปในความสัมพันธ์เบื้องต้นกับเพื่อนร่วมห้องขี้อาย (จอห์นเรย์โนลด์ส) ของแฟนของเพื่อนร่วมห้องของเธอ ในขณะเดียวกันเธอพฤติกรรมแปลก ๆ มากขึ้นเช่นการเดินละเมอเกาผนังและยังแสดงให้เห็นถึงการทำงานเริ่มต้นเปลือยกายเพื่อต่อสู้ความสัมพันธ์ไม่กี่คนที่เธอไม่ได้รวมเป็นหนึ่งกับเพื่อนร่วมห้องของเธอ (Debby ไรอัน) และนายจ้างกรุณาของเธอ ( มอลลี่แชนนอน )

ฟังดูบ้าคลั่งเมื่อเธอได้รับ Beana และ Brie ไม่เคยปล่อยให้คุณเสียความเห็นใจต่อชะตากรรมของซาร่าห์ เรารู้ว่าเธอป่วยและในการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายเราได้สัมผัสโลกโดยผ่านมุมมองที่แตกของซาร่าห์ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่เหมือนใครในการจัดการกับความเจ็บป่วยทางจิตที่มีผลกระทบที่ไม่มั่นคงและเปิดกว้าง . มันรู้สึกผิดปกติอย่างผิดปกติ - เนื่องจากภาพยนตร์ประเภทนี้มักมีจุดสุดยอดอยู่เสมอในชีวิตจริงเช่นโรคไขและความเสื่อมโทรม เป็นผลให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีคุณภาพเหนือจริงเหมือนในฝันติดกับ sci-fi พร้อมซาวด์แทร็กโดย โยไซยาห์สไตน์บริกและเจเรมีซัคเคอร์แมนเปลี่ยนคำพูดและสัจจะ โดยรวมแล้วมันใช้งานได้ดีแม้ว่าภาพเซอร์เรียลเป็นครั้งคราวจากมุมมองของตัวละครอื่น ๆ จะรู้สึกว่าออกนอกสถานที่ราวกับว่าพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าพวกเขาทำหนังจริงจังเกี่ยวกับความเจ็บป่วยทางจิตหรือเซอร์เรียล ความคิดสไตล์ของ David Lynch * ck 

ในขณะที่ฉันลังเลที่จะเรียก HORSE GIRL เป็นภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบ (มันสัมผัสไม่เท่ากันในแง่ของการเว้นจังหวะ) มันยังคงเป็นงานที่มีเอกลักษณ์และน่าสนใจซึ่งเป็นบทบาทที่แสดงให้เห็นถึง Brie และสัญลักษณ์ของสิ่งดี ๆ ประสิทธิภาพ Brie คือขึ้นอยู่กับบางคนที่แข็งแกร่งที่ผมเห็นจากซันแดนซ์ปีนี้ (ที่นี้มีรอบปฐมทัศน์)
และหลักฐานว่าเธอเป็นจริงจัดการได้อย่างง่ายดายและสามารถที่จะดำเนินการทุกประเภทของวัสดุ

April 07, 2020

รีวิว: VFW


เรื่องย่อ:หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังหนีจากพ่อค้ายาเสพติดบ้าและกองทัพพังก์ของเขาพักพิงในบาร์VFW (ทหารผ่านศึกจากสงครามในต่างประเทศ) ได้รับความคุ้มครองเป็นจำนวนมากหลังจากที่หนึ่งในบรรดาผู้ทำหน้าที่บาดเจ็บอย่างรุนแรงคนหนึ่ง

รีวิว:ฉันต้องมอบมันให้กับอินดี้ผู้ทำหนังสยองขวัญโจเบโกส - เขารวบรวมนักฆ่าของไอคอนภาพยนตร์ประเภทที่ถูกต้องตามกฎหมายสำหรับ VFW แอ็คชั่นสยองขวัญของเขา ใช้เวลากับการประเมินของJohn Carpenterในพรีซินท์ 13 (ขวาลงไปที่คะแนน Carpenter-esque) แก่นประเภทเก่านี้ได้รับการเขย่าขึ้นมาเล็กน้อยแทนที่จะมีคนเลวโดยรวมมากกว่าฮีโร่ของเราคนดีกว่า กว่าที่จะสามารถถือของตัวเอง - แล้วบางส่วน

อย่างไรก็ตามนั่นก็หมายถึง Lang, Kove, Sadler และ Williamson ที่จะต้องสะบัดแอ็คชั่นที่ค้างชำระนานซึ่งพวกเขากำลังอยู่ข้างหน้าและอยู่ตรงกลางเป็น EXPENDABLES ของนักแสดงตัวละครแปดคน และคุณรู้อะไรไหม ไม่มีคนพวกนี้ที่พ่ายแพ้ หรั่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งดูเหมือนว่าจะมีรูปร่างที่ดียิ่งขึ้นกว่าที่เขากลับมาเมื่อเขาทำ BAND OF THE HAND ในปี 1986 เนื่องจากทหารผ่านศึก Nam มีปาร์ตี้กับลูกเรือเก่าของเขาก่อนที่จะถูกขัดจังหวะอย่างหยาบคาย ใช้เวลาประมาณหนึ่งวินาทีของความโกลาหลก่อนที่ Lang จะสูญเสีย baddies ตัวแรกที่นี่และ Begos ต้องบอกว่ารู้วิธีใช้ดาวของเขาอย่างแน่นอน ในขณะที่มีแนวโน้มว่าจะทำงานกับงบประมาณเชือกผูกรองเท้า (ซึ่งอธิบายว่าทำไมคนร้ายไม่ได้บรรจุอาวุธปืน) แต่เขาก็ทำมันให้ได้ประโยชน์สูงสุด

สัตวแพทย์อีกสองคนปรากฏตัวในบทบาทที่เล็กกว่าโดยจอร์จเวนเด็นต์ต่อต้านประเภทเหมือนหมอสัตว์น้ำในขณะที่เดวิดแพทริคเคลลี่ยอดเยี่ยมในฐานะผู้มีถิ่นพำนักของแก๊ง - หวังว่าคนที่เหมาะสมจะเห็น VFW ของการปรากฏตัวและยังคงเป็นนักแสดงตัวละครที่ดีอย่างถูกกฎหมาย ทอมทอมวิลเลียมสันยังสร้างความประทับใจให้กับสัตว์แพทย์จากอัฟกานิสถานที่เดินเข้ามาในบาร์เพื่อดื่มและออกไปเตะตูดกับคนอื่น ๆ ฉันชอบที่ Begos ไม่ต้องเสียเวลากับการท้าทายสัตวแพทย์ที่อายุมากกว่าหรือไม่พอใจชายหนุ่ม เขาเหมาะกับเด็ก ๆ และมากกว่าที่เขามีอยู่

อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า VFW มีปัญหาบางอย่างและส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคนร้าย ภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ดีนั้นดีพอ ๆ กับ baddie และหัวหน้าแก๊งที่นี่อ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ หากคุณมีไอคอนเป็นวีรบุรุษของคุณคุณต้องมีไอคอนเป็นรูปแบดดี้และไม่มีใครเหมาะกับบิล แต่พวกเขาเป็นกลุ่มนิรนามทำให้ฉากแอ็คชั่นน่ากลัวซ้ำซากเกินไป พวกเขาเป็นเทียบเท่าไลฟ์แอ็กชันของโดรน CGI ไม่มีอะไรสำหรับพวกเขา - ซึ่งเป็นความอัปยศเช่นเดียวกับ baddie VFW ที่ดีอาจเป็นสิ่งที่พิเศษจริงๆ

April 05, 2020

รีวิว : ONWARD


เช่นเดียวกับตัวละครเอลฟ์ที่น่ารักที่ใจกลางแกนหลักของ Pixar พบว่าสตูดิโอแอนิเมชันในตำนานกำลังดำเนินภารกิจที่ยิ่งใหญ่ การจู่โจมครั้งแรกของพวกเขาสู่ดินแดนดั้งเดิมตั้งแต่ปี 2560 พวกเขาเข้าสู่โลกใหม่แห่งจินตนาการด้วยความหวังว่าจะได้สัมผัสกับอารมณ์ของมนุษย์อย่างลึกซึ้งและธีมที่ลึกซึ้งทุกครั้งในขณะที่ทำให้ผู้ชมหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและน่าเกลียดในกระบวนการ แต่ในการเดินทางครั้งล่าสุดนี้ - ครั้งหนึ่งที่มักจะตลกและจริงใจและมีสมบัติมากมายที่เท้า - ดังนั้นไม่ค่อยมีอัญมณีล้ำค่าจริง ๆ ที่ค้นพบซึ่งจะทำให้การแสวงหามหากาพย์นี้มีศักยภาพที่จะเป็น ดูซีรี่ย์ออนไลน์


ตั้งอยู่ในโลกเวทมนตร์ที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตในเทพนิยาย แต่ที่เหลือเวทมนตร์เล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากการค้นพบกระแสไฟฟ้าและการปรากฎตัวของ Facebook (Elfbook? MageBook? TrollBook?) เราได้รู้จักกับ Ian Lightfoot (Tom Holland) เอลฟ์หนุ่มเหงา ใครเศร้าไม่ได้ไปพบพ่อของเขาก่อนที่เขาจะผ่านไป สิ่งที่ครอบครัวของเขารวมถึงแม่ของเขาคือลอเรล (จูเลียหลุยส์ - เดรย์ฟัส) และการแสวงหาการผจญภัยของเขาพี่ชายผู้รอบรู้บาร์เลย์ (คริสแพรตต์) ผู้หลงใหลในเกมดันเจี้ยน & มังกร / เวทมนตร์: เกม Gathering ถือว่ากำลังทำการบ้าน หลังจากได้รับสต๊าฟพ่อมดในวันเกิดของเขาแล้วมันก็มีเวทย์มนตร์ที่จะนำพ่อของเขากลับมาหนึ่งวัน - ซึ่งทำให้ยุ่งเหยิงและทำให้พวกเขาเหลือเพียงครึ่งล่างของพ่อที่น่าสงสารของพวกเขา - เอียนและข้าวบาร์เลย์ รับอัญมณีเวทย์มนตร์เพื่อนำเขากลับมามีชีวิตอย่างเต็มที่



ผู้ชมอาจจะสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าหลังจาก SONIC THE HEDGEHOG นี่เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเด็ก ๆ ในเดือนที่ผ่านมาเพื่อให้ได้มุมมองการเดินทางบนถนน แต่โชคดีที่มีอีกเล็กน้อยที่เกิดขึ้น พิกซาร์ความฉลาด เช่นเดียวกับภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องอื่นของดิสนีย์ ZOOTOPIA โลกที่เราตั้งอยู่ในที่นี้ไม่เหมือนกับของเรา แต่แทนที่มนุษย์ที่น่าเบื่อและโดยเฉลี่ยคุณมีสัตว์ประหลาดและสัตว์ในตำนานเช่นเซนทอร์เป็นตำรวจหรือผู้หญิงจิ้งจก เป็นผู้รับจำนำ แม้แต่แรคคูนถังขยะสกปรกของพวกเขาก็ยังดีกว่าพวกเราด้วยยูนิคอร์นที่บ้าคลั่งขุดหาขนมในขยะ เอียนและข้าวบาร์เลย์ได้พบเจอกับแง่มุมต่าง ๆ ของโลกใบใหญ่ที่สูญเสียความงดงาม - เช่น Manticore อันยิ่งใหญ่ซึ่งมีโรงเตี๊ยมกลายเป็น ข้อต่อสไตล์ชีสของ Chuck E และนักปั่นผีตัวเล็กที่ลืมวิธีบินดังนั้นพวกเขาจึงขี่เสียงดังมาก

April 04, 2020

รีวิว: BLOODSHOT


เรื่องย่อ:ทหารที่ถูกสังหาร ( Vin Diesel ) ได้รับการฟื้นคืนชีพในฐานะนักฆ่าที่อยู่ยงคงกระพันก้มลงล้างแค้นการสังหารภรรยาของเขาด้วยมือของผู้ก่อการร้าย ( Toby Kebbell ) แต่ภารกิจของเขานั้นชอบธรรมอย่างที่คิดหรือว่าเขาเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งในมือของนักวิทยาศาสตร์ ( Guy Pearce ) ที่ฟื้นคืนชีพเขา

รีวิว:อาชีพของVin Dieselนอก FAST & FURIOUS นั้นน่าสนใจมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นขี้ยาขนาดใหญ่นี่เป็นหนึ่งในความพยายามหลายครั้งของดาราที่จะสร้างแฟรนไชส์ของตัวเองนอกรถยนต์และรถสปีชี่สายลับของเขา การปรับตัวของตัวละคร Valiant Comics น่าจะเป็นที่ชื่นชอบในฐานของฮาร์ดคอร์ของเขามากกว่า THE LAST WITCH HUNTER แต่BLOODSHOTยังขาดสไตล์ที่สูงและ "ทุกอย่างและอ่างล้างจานในครัว" ของภาพยนตร์ FAST & FURIOUS อันยิ่งใหญ่จากการที่เขาไม่ได้อยู่ใน HOBBS & SHAW) และปัจจัยค่ายของ XXX ที่โง่เขลาแสนอร่อย: การกลับมาของกรง XANDER

ด้วยงบประมาณ 45 ล้านเหรียญซึ่งไม่น่าจะจ่ายให้กับ FAST 9 เลยในที่สุด BLOODSHOT ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในการทำงาน ในขณะที่ฉันไม่มีความคุ้นเคยกับตัวละครในหนังสือการ์ตูนสถานที่กลางที่กองกำลังที่ไม่อาจหยุดยั้งในขณะนี้ต้องการการแก้แค้น แต่ถูกใช้โดยพลังที่เป็นมากกว่าการรำลึกถึง ROBOCOP แม้ว่าตัวละครดีเซลอย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้อง กังวลเกี่ยวกับการผสมผสานระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร ค่อนข้างชิ้นส่วนเครื่องจักรถูก จำกัด ไว้ที่ nanobots ที่ประกอบขึ้นเป็นเลือดของเขาบันทึกสำหรับริ้วรอยที่ไม่ได้อธิบายที่บางครั้งเปลี่ยนสีขาวของเขา chalky และเปลี่ยนสีแดงหน้าอกของเขาทำให้เขาดูเหมือนการ์ตูนของเขา แน่นอนพลังของเขาไม่สามารถช่วยได้ แต่มีอะไรที่เหมือนกันมากกับ Deadpool


ด้วยงบประมาณ 45 ล้านเหรียญซึ่งไม่น่าจะจ่ายให้กับ FAST 9 เลยในที่สุด BLOODSHOT ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในการทำงาน ในขณะที่ฉันไม่มีความคุ้นเคยกับตัวละครในหนังสือการ์ตูนสถานที่กลางที่กองกำลังที่ไม่อาจหยุดยั้งในขณะนี้ต้องการการแก้แค้น แต่ถูกใช้โดยพลังที่เป็นมากกว่าการรำลึกถึง ROBOCOP แม้ว่าตัวละครดีเซลอย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้อง กังวลเกี่ยวกับการผสมผสานระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร ค่อนข้างชิ้นส่วนเครื่องจักรถูก จำกัด ไว้ที่ nanobots ที่ประกอบขึ้นเป็นเลือดของเขาบันทึกสำหรับริ้วรอยที่ไม่ได้อธิบายที่บางครั้งเปลี่ยนสีขาวของเขา chalky และเปลี่ยนสีแดงหน้าอกของเขาทำให้เขาดูเหมือนการ์ตูนของเขา แน่นอนพลังของเขาไม่สามารถช่วยได้ แต่มีอะไรที่เหมือนกันมากกับ Deadpool

การกระทำส่วนใหญ่จะซ้ำซ้อนกับดีเซลสูดดมกระสุนและสร้างตัวเองใหม่ เขาอยู่ยงคงกระพันเราไม่เคยเชื่อเลยว่าคนที่สองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "Sam Heughan" ของ Sam Outlander ซึ่งสร้างขึ้นจากการคุกคามทางกายภาพครั้งใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้ในฐานะทหารที่ถูกดัดแปลงอีกคน เขามีข้อได้เปรียบมากเกินไปเกินความจริงที่ว่าเฮ้ - เขาของVin Diesel คนเดียวที่จัดการให้โดดเด่นได้คือ Eiza Gonzálezซึ่งเป็นหนึ่งในทหารดัดแปลงที่เขาตั้งไว้ - และในที่สุดก็ต่อต้าน - แม้ว่าเราจะไม่ได้เรียนรู้มากนักเกี่ยวกับเธอนอกเหนือจากความจริงที่ว่าเธอเป็นนักดำน้ำและได้รับการเสริม โดยได้รับความสามารถในการหายใจใต้น้ำ (ซึ่ง - น่าอัศจรรย์ - ไม่เคยมีส่วนร่วมในฉากแอ็คชั่นใด ๆ ) Lamorne Morris จาก "Girl ใหม่"เป็นกีฬาที่ใช้สำเนียงอังกฤษปลอมเป็นการ์ตูนโล่งอก แต่ถูกนำมาใช้เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในภาพยนตร์เรื่องนี้และให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ต่อหน้าผู้อื่น - ราวกับว่าพวกเขารู้ว่าหนังเรื่องนี้ต้องการแรงดึงดูด Guy Pearceรู้สึกผิดพลาดอย่างมากในฐานะตัวร้ายตัวใหญ่พร้อมกับเขาเหมาะกับบทพระเอกมากขึ้นด้วยความจริงที่ว่าเขาไม่เคยเคี้ยวฉาก น่ายกย่อง แต่นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์ประเภทที่คุณควรทำสิ่งที่ไม่ดี ฉันคิดว่าฉันต้องเป็นนักแสดงที่มีเปลญวนเหมือนDanny Huston

BLOODSHOT ค่าโดยสารที่ดีที่สุดในชั่วโมงแรกเมื่อสถานที่ตั้งถูกตั้งค่าด้วยตัวเลือกที่น่าสนใจใด ๆ และทำทั้งหมดที่นี่รวมถึงการใช้นวนิยายของ Talking Heads ติดตาม“ Psycho Killer” แต่ถึงกระนั้นผู้กำกับ David SF Wilson ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีสไตล์ที่โดดเด่นมากนักเนื่องจากหนังเรื่องนี้ไม่สามารถช่วยได้ แต่รู้สึกถึงไลน์การประกอบและเร่งรีบในระดับหนึ่งโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลัง ในขณะที่ Bloodshot สามารถรับชมได้อย่างสมบูรณ์แบบมันไม่เคยรู้สึกเหมือนเป็นอะไรมากไปกว่าภาพยนตร์ B และดูเหมือนว่าจะไม่เกิดขึ้นกับแฟรนไชส์รายใหญ่ของ Diesel อีกแล้ว พอเพียงที่จะพูดไม่เพียง แต่จะไม่ทำให้ผู้คนลืมเรื่อง FAST & FURIOUS (เพิ่งเลื่อนมาทั้งปี!) แต่มันจะไม่ทำให้คนลืมเรื่อง XXX หรือ Riddick มันดี - แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นถึงแม้ว่าฉันคิดว่าจะได้รับข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้มันจะต้องโบยพัดไปสักพัก